ไขมัน คืออะไร ? ไขมันสะสมแบบไหนลดยาก ? แนะนำวิธีลดไขมัน กระชับสัดส่วนที่ได้ผล

ไขมัน คือ

รู้จัก ไขมัน คืออะไร ? รวมเรื่องที่ต้องรู้ก่อนกำจัดไขมัน

ไขมัน คือ ไขมันสะสมในร่างกายที่เป็นปัญหาสำหรับหลายคน เพราะนอกจากจะทำให้รูปร่างไม่สมส่วน ต้นแขนต้นขาใหญ่ พุงป่อง เหนียงชัดแล้ว ยังส่งผลต่อความมั่นใจและเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพได้ครับ

ในบทความนี้ หมอจะพามาทำความเข้าใจว่า ไขมัน คืออะไร ? ไขมันสะสมเกิดจากอะไร ? ทำไมบางจุดถึงลดได้ยาก ? พร้อมแชร์วิธีสลายไขมันด้วยตัวเองและวิธีทางการแพทย์ เพื่อช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินและทำให้รูปร่างกลับมากระชับ ดูสมส่วนครับ

สารบัญ ไขมัน คือ


ไขมัน คืออะไร ? ทำความเข้าใจเกี่ยวกับไขมันในร่างกาย

Fat หรือ ไขมัน คือ สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรอง ช่วยรักษาอุณหภูมิร่างกาย ดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E และ K และยังทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะภายในจากแรงกระแทก

อย่างไรก็ตาม ไขมัน คือ ตัวการหลักที่ส่งผลต่อรูปร่าง หากได้รับมากเกินไปโดยไม่มีการเผาผลาญที่เพียงพอ ไขมันจะสะสมในร่างกายจนกลายเป็น ไขมันส่วนเกิน ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้ครับ

ไขมัน ส่งผลต่อรูปร่าง

ผลกระทบของ ไขมันที่มีต่อสุขภาพ

  • ไขมันในช่องท้องสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเบาหวาน
  • ไขมันพอกตับ ทำให้การทำงานของตับผิดปกติ
  • ไขมันอุดตันเส้นเลือด นำไปสู่ความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดสมอง

ดังนั้น การควบคุมปริมาณไขมัน ที่ได้รับต่อวัน และการเลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างและสุขภาพในระยะยาวครับ

ไขมัน กับน้ำหนักตัว ต่างกันอย่างไร ?

น้ำหนักตัว คือตัวเลขที่รวมทุกส่วนในร่างกายครับ ทั้งน้ำ กล้ามเนื้อ อวัยวะ และไขมัน การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วจึงมักเกิดจากการสูญเสียน้ำหรือกล้ามเนื้อ ไม่ใช่ไขมัน

ส่วนไขมัน หรือ ไขมัน นับเป็นส่วนประกอบหนึ่งในร่างกายและรวมอยู่ในน้ำหนักตัว พบได้ที่ต้นแขน ต้นขา สะโพก และหน้าท้อง เกาะตามอวัยวะภายใน เช่น ลำไส้ ตับ ไต ทำให้เกิดพุงและเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ

การลดน้ำหนักที่ถูกต้อง จึงควรเน้นการลดเปอร์เซ็นต์ ไขมันในร่างกาย ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนตาชั่ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ต่อเนื่องและสุขภาพที่ดีในระยะยาวครับ

ปริมาณไขมันที่เหมาะสมในร่างกาย

ปริมาณไขมัน ที่เหมาะสมในร่างกายขึ้นอยู่กับ เพศ อายุ โดยมีเกณฑ์ดังนี้

เปอร์เซ็นต์ไขมัน ที่เหมาะสมตามมาตรฐาน

กลุ่มผู้ชาย (%)ผู้หญิง (%)
นักกีฬา6 – 13%14 – 20%
ผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ14 – 17%21 – 24%
ผู้ที่อยู่ในระดับปกติ18 – 25%25 – 31%
ผู้ที่มีภาวะไขมันเกิน> 25%> 32%

ทำไมควรรักษาปริมาณไขมันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ?

  • ไขมันน้อยเกินไป เสี่ยงต่อปัญหาฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกัน และพลังงานต่ำ
  • ไขมันมากเกินไป เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคอ้วน
  • ไขมันอยู่ในระดับสมดุล ร่างกายแข็งแรง รูปร่างกระชับ และลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง

ดังนั้น ควรใช้วิธีวัดไขมันที่เหมาะสม เพื่อประเมินสุขภาพแทนการดูแค่ตัวเลขน้ำหนัก และควรรักษาปริมาณไขมันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อสุขภาพที่ดีครับ

วิธีวัดปริมาณไขมันในร่างกาย

การวัดปริมาณไขมันในร่างกายช่วยให้เราประเมินสุขภาพและวางแผนลดไขมันได้อย่างเหมาะสม โดยวิธีที่ใช้ทั่วไป ได้แก่

  • คำนวณค่า BMI (Body Mass Index) ใช้ส่วนสูงและน้ำหนักในการประเมินภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน แต่อาจไม่สามารถบอกสัดส่วนไขมันที่แน่นอนครับ
สูตร BMI
  • วัดสัดส่วนร่างกาย (Body Measurements) เช่น รอบเอว สะโพก ต้นแขน และต้นขา เพื่อดูแนวโน้มการสะสมไขมัน
  • ใช้เครื่องวัดเปอร์เซ็นต์ไขมัน (Body Fat Analyzer) เช่น เครื่อง InBody หรือ BIA ที่ใช้กระแสไฟฟ้าต่ำผ่านร่างกายเพื่อคำนวณเปอร์เซ็นต์ไขมัน

การเลือกวิธีวัดปริมาณ ไขมัน ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความแม่นยำที่ต้องการ หากต้องการผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ควรปรึกษาแพทย์ครับ


ไขมัน มีกี่ประเภท ? รู้จักไขมันแต่ละแบบในร่างกาย

ในร่างกายมี ไขมัน หลายประเภท โดยแต่ละชนิดมีหน้าที่และผลต่อสุขภาพที่แตกต่างกัน การเข้าใจ ชนิดของไขมัน จะช่วยให้สามารถควบคุมและจัดการน้ำหนักได้ดีขึ้นครับ

ประเภท ไขมัน ในร่างกาย

ไขมันขาว (White Fat)

ไขมันขาว เป็นไขมันที่พบมากที่สุดในร่างกาย มีหน้าที่หลักในการเก็บพลังงานในรูปของไตรกลีเซอไรด์และปล่อยพลังงานเมื่อร่างกายต้องการ

นอกจากนี้ ไขมันขาวยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมฮอร์โมนหลายชนิด เช่น อินซูลิน (Insulin) ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และ เลปติน (Leptin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมความหิวและระบบเผาผลาญพลังงาน

พบมากบริเวณ หน้าท้อง ต้นขา สะโพก และแขน หากมีการสะสมมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน เบาหวาน และโรคหัวใจ

ไขมันน้ำตาล (Brown Fat)

ไขมันน้ำตาล เป็นไขมันที่พบมากในทารกแรกเกิดและมีปริมาณลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ในผู้ใหญ่มักพบในบริเวณ คอ ไหล่ และสันหลัง

ไขมันชนิดนี้มีหน้าที่หลักในการเผาผลาญกรดไขมันและเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนเพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกาย โดยเฉพาะในสภาพอากาศหนาว การทำงานของไขมันน้ำตาลช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน และมีความเกี่ยวข้องกับการควบคุมน้ำหนักและป้องกันโรคอ้วน

ไขมันเบจ (Beige Fat)

ไขมันเบจ เป็นไขมันที่มีคุณสมบัติอยู่ระหว่างไขมันขาวและไขมันน้ำตาล โดยปกติแล้วจะเป็นไขมันขาว แต่สามารถเปลี่ยนเป็นไขมันน้ำตาลได้เมื่อได้รับการกระตุ้นจากการออกกำลังกายหรือการสัมผัสอากาศเย็น ทำให้ไขมันชนิดนี้สามารถช่วยเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น และลดการสะสมของไขมันขาว พบมากในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิต่ำ

ไขมันทั้งสามประเภทนี้ มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพและระบบเผาผลาญของร่างกาย การเพิ่มสัดส่วนของ ไขมันน้ำตาลและไขมันเบจ ผ่านการออกกำลังกายและการสัมผัสอากาศเย็น อาจช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับไขมันส่วนเกินครับ


ไขมันสะสม เกิดจากอะไรได้บ้าง ?

ไขมันสะสมในร่างกาย คือ ปริมาณไขมันที่ร่างกายกักเก็บไว้ในรูปของพลังงานสำรอง หากมีมากเกินไปอาจส่งผลต่อสุขภาพและก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน ซึ่ง ไขมัน สะสมในร่างกายเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ดังนี้ครับ

ไขมันสะสมเกิดจากอะไร
  • รับประทานอาหารเกินความจำเป็น : การรับประทานอาหารแคลอรีสูงจากอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาล และคาร์โบไฮเดรต เช่น ฟาสต์ฟู้ด ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มหวาน ๆ พลังงานส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม
  • ระบบเผาผลาญต่ำ : ระบบเผาผลาญ (Metabolism) มีบทบาทสำคัญในการใช้พลังงาน หากร่างกายเผาผลาญพลังงานได้น้อย เช่น จากอายุที่เพิ่มขึ้น การขาดการออกกำลังกาย หรือภาวะไทรอยด์ต่ำ ไขมันจะสะสมได้ง่ายขึ้น
  • พฤติกรรมเนือยนิ่ง (Sedentary Lifestyle) : การนั่งทำงานนาน ๆ ดูโทรศัพท์ หรือดูโทรทัศน์เป็นเวลานาน ทำให้ร่างกายใช้พลังงานน้อยลง ส่งผลให้เกิดการสะสมของ ไขมัน ได้ครับ
  • ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ : ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่ง ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งกระตุ้นให้ร่างกายสะสม ไขมัน โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง ขณะที่การนอนน้อยส่งผลต่อการควบคุมความหิว
  • ปัจจัยทางพันธุกรรมและฮอร์โมน : บางคนมีแนวโน้มสะสมไขมันง่ายจากพันธุกรรม หรือจากภาวะฮอร์โมนผิดปกติ เช่น ภาวะไทรอยด์ต่ำ และภาวะดื้ออินซูลิน

ไขมันสะสมบริเวณไหนบ้างที่กำจัดยาก ?

ไขมันสะสมในร่างกายสามารถกระจายไปทั่ว แต่บางบริเวณในร่างกายมีไขมัน คือ ไขมันดื้อ (Stubborn ไขมัน) ที่เผาผลาญออกได้ยาก ต้องใช้เวลาและความพยายามในการลด โดยจุดที่กำจัดยาก มีดังนี้ครับ

1. ไขมันหน้าท้อง (Belly Fat)

ไขมันหน้าท้อง

เป็นจุดที่เผาผลาญยากที่สุดครับ โดยเฉพาะ ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ที่เกาะรอบอวัยวะภายใน สะสมมากเกินไปเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเบาหวาน

2. ไขมันต้นขา (Thigh Fat)

พบมากในผู้หญิง เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้ไขมันสะสมบริเวณต้นขาได้ง่าย โดยเฉพาะไขมันด้านในต้นขาและด้านนอกต้นขา (Saddlebags)

3. ไขมันสะโพกและก้น (Hip & Butt Fat)

แม้จะช่วยสร้างสัดส่วนที่โค้งเว้า แต่หากสะสมมากเกินไป อาจทำให้รูปร่างไม่สมส่วน โดยมักเป็น ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ที่ลดได้ยาก

4. ไขมันต้นแขน (Arm Fat)

โดยเฉพาะบริเวณด้านหลังแขน ไขมันสะสมง่ายแต่เผาผลาญยาก มักพบในผู้ที่อายุมากขึ้นหรือขาดการออกกำลังกาย

5. ไขมันเหนียง (Double Chin)

ไขมันเหนียง

ไขมันใต้คางหรือเหนียง ก็เป็นอีกจุดที่กำจัดยากครับ มักเกิดจากน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น พันธุกรรม หรือความหย่อนคล้อยของผิวหนัง

การลดไขมันในบริเวณเหล่านี้ จำเป็นต้องอาศัยการควบคุมอาหาร ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญไขมัน หรือในคนที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วและเห็นผลชัดเจนมากขึ้น ก็สามารถใช้หัตถการทางการแพทย์ เป็นตัวช่วยเสริมได้ครับ


6 วิธีการลดไขมันด้วยตัวเอง

การลดไขมัน ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของรูปร่าง แต่ยังเป็นเรื่องของสุขภาพโดยรวม การลดไขมันให้ได้ผลต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ตามวิธีต่าง ๆ ที่หมอแนะนำ ต่อไปนี้ครับ

การออกกำลังกายลดไขมัน

ออกกำลังกายลดไขมัน

การออกกำลังกาย เป็นวิธีที่ช่วยเผาผลาญไขมันสะสมในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยสามารถเลือกทำได้หลากหลายประเภท เช่น

  • คาร์ดิโอ (Cardio) เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตและเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน
  • เวทเทรนนิ่ง (Weight Training) หรือการยกน้ำหนัก ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งมีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมันมากขึ้นแม้ในขณะพัก
  • HIIT (High-Intensity Interval Training) การออกกำลังกายแบบเข้มข้นเป็นช่วง ๆ ที่ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันได้รวดเร็ว

การควบคุมอาหารลดไขมัน

คุมอาหารลด ไขมัน

การควบคุมอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการลดไขมันครับ เพราะช่วยลดการสะสมของไขมันในร่างกายได้โดยตรง แต่ไม่ควรอดอาหารจนร่างกายขาดสารอาหาร

ควรเลือกกินให้ถูกต้อง ลดอาหารที่ทำให้ไขมันสะสมง่าย เช่น น้ำตาล ของหวาน ของทอด อาหารมัน และอาหารที่มี Trans Fat อย่างเนยเทียม ขนมขบเคี้ยว

แนะนำให้เลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ เต้าหู้ ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีกากใยสูง เพราะช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น และลดไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Vsquare tips

ข้อควรรู้ : การควบคุมแคลอรี่เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดไขมัน โดยกินอาหารให้พอดีกับพลังงานที่ใช้ในแต่ละวัน ข้อดีคือช่วยให้กินอาหารได้หลากหลายโดยไม่สะสมไขมันส่วนเกิน แต่ข้อเสียคือหากคุมแคลอรี่มากเกินไป อาจทำให้ระบบเผาผลาญช้าลง ควรเลือกกินอาหารให้เหมาะสมกับร่างกาย ไม่หักโหมเกินไป เพื่อให้สามารถลดไขมันได้อย่างปลอดภัยและต่อเนื่องครับ

การลด ไขมันด้วยการทำ (IF) Intermittent Fasting

ทำ IF ลด ไขมัน

การทำ IF เป็นวิธีควบคุมอาหารที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบันครับ โดยเน้นการจำกัดช่วงเวลาการรับประทานอาหาร แบ่งเป็นช่วงที่รับประทานได้ (Feeding) และช่วงงดอาหาร (Fasting) ซึ่งรูปแบบที่นิยมคือ 16/8 หมายถึงการอดอาหาร 16 ชั่วโมง และกินในช่วงเวลา 8 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ยังมีวิธีอื่น ๆ แบ่งตามระดับความเข้มข้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละบุคคล เช่น

  • Feeding 5 ชั่วโมง / Fasting 19 ชั่วโมง
  • Fasting 24 ชั่วโมง 1-2 ครั้ง / สัปดาห์ วันอื่น ๆ กินอาหารปกติ
  • Fasting 2 วัน กินอาหารปกติ 5 วัน (วันที่กินปกติต้องลดแคลอรี่ลงเหลือ ¼ ที่ได้รับต่อวัน)
  • อดเช้า – กินค่ำ (The Warrior Diet) กลางวันดื่มได้แค่น้ำเปล่า และรับอาหารหนักในมื้อค่ำ
  • อดอาหารแบบวันเว้นวัน (Alternate Day Fasting)

การลดไขมันด้วยการทำ IF ควรทำอย่างเหมาะสม ไม่หักโหมหรือเครียดจนเกินไป และในผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยงการทำ IF ครับ

การจัดการความเครียด

ลดเครียดช่วยลด ไขมัน

ความเครียดเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการสะสมไขมัน เพราะเมื่อร่างกายเครียด จะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมาในปริมาณมาก ส่งผลให้ระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือดผิดปกติ ทำให้เกิดความอยากอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลมากขึ้น

ดังนั้น การลดความเครียดสามารถช่วยควบคุมน้ำหนักได้ โดยวิธีที่ช่วยลดความเครียด เช่น การฝึกหายใจลึก ๆ การทำสมาธิ ดูหนัง ฟังเพลง หรือการออกกำลังกายเบา ๆ จะช่วยให้ระบบร่างกายกลับมาสมดุล เป็นปกติครับ

ลดไขมันด้วยการหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

นอนลด ไขมัน

การนอนหลับให้เพียงพอช่วยลดไขมัน เพราะขณะนอนหลับ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเลปติน ซึ่งช่วยระงับความอยากอาหารและกระตุ้นระบบเผาผลาญ แต่ในทางกลับกัน หากนอนไม่พอ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเกรลินที่กระตุ้นความหิว และทำให้เกิดการสะสมไขมันได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่า การนอนไม่เพียงพอเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ดังนั้น ควรนอนให้ได้อย่างน้อย 7 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อรักษาสมดุลของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญและควบคุมความอยากอาหารครับ

หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

งดบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลด ไขมัน

การหลีกเลี่ยงบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วยลดไขมันได้ครับ เนื่องจากการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ส่งผลให้ประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมันลดลง และอาจนำไปสู่ภาวะต้านอินซูลิน ทำให้ร่างกายสะสมไขมันได้ง่ายขึ้น

ดังนั้น การลดหรืองดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ จะช่วยให้ระบบเผาผลาญกลับมาทำงานได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และไขมันพอกตับครับ

วิธีเหล่านี้เป็นแนวทางการลดไขมัน ที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน โดยอาศัยการปรับพฤติกรรม ทั้งการออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร พักผ่อนให้เพียงพอ จัดการความเครียด และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ร่างกายสะสมไขมัน แต่อาจต้องใช้เวลาและวินัยในการทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีครับ


4 วิธีการลดไขมันแบบเห็นผลเร็ว ด้วยหัตถการทางการแพทย์

แม้การควบคุมอาหารและออกกำลังกายจะช่วยลดไขมัน ได้ แต่อย่างที่หมอบอกครับ บางครั้งไขมันส่วนเกินบางจุดก็ลดได้ยาก หัตถการทางการแพทย์ จึงเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้เห็นผลเร็วขึ้น ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ หมอจึงขอแนะนำ 4 วิธีลดไขมันด้วยหัตถการทางการแพทย์ ดังนี้ครับ

ฉีดเมโสแฟต (Meso Fat)

การฉีด Meso ไขมัน

การฉีด Meso Fat คือ การฉีดตัวยาที่ช่วยสลายไขมันเฉพาะจุด เช่น บริเวณแก้ม เหนียง ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง และเอว และกระตุ้นให้ไขมันแตกตัวและถูกขับออกทางระบบน้ำเหลือง

เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมไม่มาก และต้องการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้นหรือกระชับรูปร่างโดยไม่ต้องผ่าตัด หลังฉีดครั้งแรกไขมันจะเริ่มสลายตัวประมาณ 10-15% และจะเริ่มเห็นว่าไขมันยุบลงภายใน 5-7 วันและเห็นผลเต็มที่ใน 2-3 สัปดาห์ครับ

ฉีดเมโสแฟต (Meso ไขมัน) คืออะไร ? ช่วยอะไร ? ฉีดจุดไหนได้บ้าง ?

สลายไขมันด้วยความเย็น (CoolSculpting)

CoolSculpting ลด ไขมัน

CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็น โดยใช้เครื่องมือปล่อยความเย็นอุณหภูมิต่ำ-11°C ลงไปแช่แข็งก้อนไขมันใต้ชั้นผิว ทำให้เซลล์ไขมันแข็งตัวและถูกกำจัดออกจากร่างกายตามธรรมชาติ โดยที่จะไม่ทำอันตรายต่อผิวหนังชั้นนอกครับ

วิธีนี้ช่วยลดไขมันเฉพาะจุดได้ถาวร เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสม (BMI<35) บริเวณหน้าท้อง เอว ต้นแขน ต้นขา และเหนียง โดยที่ไม่อยากผ่าตัดดูดไขมัน ไม่อยากได้รับผลข้างเคียงในระยะยาวจากการดูดไขมัน ไม่อยากพักฟื้นนาน ไม่อยากมีแผล

หลังทำ 1 ครั้ง งานวิจัยยืนยันว่าสามารถลดจำนวนเซลล์ไขมันได้ 20-25% โดยจะเริ่มเห็นผลภายใน 1 เดือน และเห็นผลชัดเจนเต็มที่ใน 3 เดือน จากนั้นสามารถกลับมาทำซ้ำในจุดเดิมได้ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากขึ้นครับ

รีวิว Coolsculpting จำกัด ไขมัน บริเวณต้นแขน

ดูดไขมัน (Liposuction)

ดูดไขมันลด ไขมัน

การดูดไขมัน เป็นหัตถการที่สามารถกำจัดไขมันออกจากร่างกายได้โดยตรง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปริมาณไขมันสะสมจำนวนมาก (BMI > 35) โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา เหนียง เอว และสะโพก แต่เป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงสูง และต้องทำโดยแพทย์ประสบการณ์สูงเท่านั้นครับ

เพราะในการทำ แพทย์จะมีการฉีดยาชาจากนั้นจึงใช้เครื่องมือดูดไขมันผ่านเข็มขนาดเล็ก เพื่อดึงไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายโดยตรง แม้ว่าจะช่วยลดสัดส่วนได้อย่างรวดเร็ว แต่มีโอกาสเกิดรอยฟกช้ำ บวมช้ำค่อนข้างเยอะ หรืออาการแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ เสียเลือดมาก และผิวไม่เรียบหลังดูดไขมัน

นอกจากนี้ หลังทำอาจต้องใส่ชุดกระชับสัดส่วนตลอด 24 ชั่วโมงในช่วงแรก มีรอยแผลจากการสอดท่อดูดไขมันขนาด 3 mm 1-2 จุด และใช้เวลาพักฟื้นนานหลายสัปดาห์

ทำ Thermage FLX

Thermage FLX ลด ไขมัน

Thermage FLX เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) อาจไม่ใช่วิธีสลายไขมันโดยตรง แต่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมร่วมกับผิวหย่อนคล้อย เช่น คนที่ลดน้ำหนักหรือดูดไขมันแล้วผิวไม่กระชับ รวมถึงคุณแม่หลังคลอด

หลังทำสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที 20% จากนั้นจึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ใน 2-3 เดือน อยู่ได้นาน 1-2 ปีครับ

ตัวอย่างผลลัพธ์ ก่อน-หลังทำ Thermage FLX หน้าท้อง

ผลลัพธ์ก่อน-หลังทำ Thermage
ผลลัพธ์ก่อน-หลังทำ Thermage

แต่ละหัตถการมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและความต้องการของตัวเองมากที่สุดครับ หากต้องการลดไขมันเฉพาะจุดแบบเร่งด่วน สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ประเมินวิธีที่เหมาะสมกับแต่ละเคสที่สุดได้ครับ


สรุป ไขมัน คืออะไร ? จัดการอย่างไรดี ?

ไขมัน คือ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อรูปร่างและสุขภาพ หากสะสมมากเกินไป อาจทำให้รูปร่างเปลี่ยนแปลง เสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ และกระทบต่อความมั่นใจ แม้ว่าการควบคุมอาหารและออกกำลังกายจะช่วยลดไขมันได้ แต่บางจุดก็อาจกำจัดได้ยาก โดยเฉพาะในผู้ที่มีข้อจำกัดด้านการออกกำลังกายหรือการควบคุมอาหาร

ที่ V Square Clinic มีหัตถการช่วยลดไขมัน ยกกระชับผิวเฉพาะส่วน เช่น CoolSculpting, Meso Fat, Thermage FLX ซึ่งปลอดภัย เห็นผลจริง และช่วยปรับรูปร่างให้กระชับ

หากยังไม่แน่ใจว่าควรเลือกวิธีไหน แนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์ เพื่อให้หมอช่วยประเมิน และวางแผนหัตถการที่เหมาะสมกับแต่ละคนมากที่สุดได้ครับ


อ้างอิง


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

ปรึกษาหมอ

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า