วิธีรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ
ฝ้า เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่หลายคนกังวล เพราะทำให้ใบหน้าไม่เรียบเนียน สีผิวไม่สม่ำเสมอ สามารถแก้ไขได้หลายวิธีครับ สำหรับใครที่มีปัญหาฝ้า ในบทความนี้หมอจะมาแนะนำวิธีรักษา ฝ้า กระ จุดด่างดำ พร้อมเจาะลึกเรื่องฝ้า คืออะไร ? เกิดจากอะไร ? มีกี่แบบ ? เป็นบริเวณไหนได้บ้าง ? พร้อมแนะนำวิธีการป้องกันอย่างไร ไม่ให้เกิดฝ้า สามารถติดตามอ่านได้ครับ
สารบัญ รักษาฝ้า
ฝ้า คืออะไร ?
ฝ้า (Melasma) คือ ความผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสีเมลาโนไซต์ (Melanocyte) ใต้ผิวหนังที่ผลิตเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ออกมามากเกินไป ทำให้ผิวบริเวณนั้นเห็นเป็นรอยสีน้ำตาลเข้ม หรือสีเทาอมฟ้า มีลักษณะเป็นแผ่นหรือปื้น ต่างจากกระ ที่เป็นจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาลอ่อนกระจายอยู่ตามผิวหนังส่วนต่าง ๆ ทั่วใบหน้า
ฝ้า เกิดจากอะไร ?
- แสงแดด เป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์สร้างเม็ดสีออกมามากขึ้น จนเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายทำให้เกิดฝ้า
- กรรมพันธุ์ ฝ้าเป็นลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม คนในครอบครัวเดียวกันอาจเป็นฝ้าเหมือนกัน ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถหายีนที่ควบคุมการเกิดฝ้าได้
- ฮอร์โมน การใช้ยาฮอร์โมน ยาคุมกำเนิด และภาวะการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน เช่น การตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน จะกระตุ้นเม็ดสีให้เกิดฝ้า ผู้หญิงจึงมีโอกาสเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชาย
- ความเครียด เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) มากเกินไป และเร่งการผลิตเมลานินใต้ผิวหนังทำให้เกิดฝ้าได้ง่าย
- มลภาวะ ฝุ่น ควัน สารเคมี ทำให้ผิวอ่อนแอและเกิดการอักเสบ กระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ
ฝ้า มีกี่ประเภท ต่างกันอย่างไร ?
ฝ้า สามารถจำแนกประเภทได้ตามความลึกของเม็ดสี แบ่งออกเป็น 3 ประเภทครับ ได้แก่
- ฝ้าแบบตื้น เป็นฝ้าที่อยู่บนผิวชั้นหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอก) มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลหรือสีดำ เห็นขอบชัดเจน
- ฝ้าแบบลึก เป็นฝ้าที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังที่ลึกกว่าชั้นหนังกำพร้า มีลักษณะเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน มีขอบเขตไม่ชัดเจน
- ฝ้าผสม เป็นฝ้าที่ผสมกันระหว่างฝ้าตื้นและฝ้าลึก
นอกจากนี้ ฝ้ายังสามารถแบ่งประเภทตามลักษณะการเกิดได้อีก 3 ประเภทครับ คือ
- ฝ้าแดด เกิดจากรังสี UV A และ UV B จากแสงแดด รวมถึงแสงสีฟ้าจากจอคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และหลอดไฟ มีลักษณะเป็นรอยสีน้ำตาลคล้ำ ดำ แดง หรือเทาอมม่วง
- ฝ้าเลือด เกิดจากความผิดปกติของเลือดและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย มีลักษณะผิวแดงง่าย เมื่อโดนความร้อนหรือแสงแดด
- ฝ้าที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่าเป็นฝ้าประเภทใด เป็นฝ้าที่เกิดในคนที่มีผิวคล้ำมาก เช่น ชาวแอฟริกัน ไม่สามารถแยกได้ว่าเป็นฝ้าตื้น ฝ้าลึก หรือฝ้าแบบผสม
ฝ้า เป็นที่บริเวณไหนได้บ้าง ?
ฝ้า สามารถเป็นได้ทั้งบริเวณใบหน้าและลำตัวครับ ส่วนใหญ่มักพบบ่อยบนใบหน้า ได้แก่ ตำแหน่งหน้าผาก ขมับ จมูก เหนือริมฝีปาก และโหนกแก้ม โดยมักจะเป็นบริเวณทั้ง 2 ข้างเท่า ๆ กัน
ฝ้า กระ จุดด่างดำ อันตรายไหม ?
ฝ้า กระ จุดด่างดำ ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังและร่างกาย ไม่ทำให้เจ็บ แสบ หรือคัน เพียงแต่อาจส่งผลต่อความสวยงามและความมั่นใจครับ หากเป็นฝ้าแล้วหมอแนะนำให้รีบรักษา เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ฝ้าอาจมีสีเข้มขึ้นและรักษาได้ยากขึ้นกว่าเดิม
12 วิธีรักษาฝ้า แบบไหนดีอย่างไร ?
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีไหนที่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาดได้ มีเพียงวิธีช่วยให้ฝ้าจางลงและควบคุมการเกิดฝ้าเท่านั้น หมอรวบรวม 12 วิธีรักษาฝ้าที่เห็นผลดี ดังนี้
1. รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ด้วยเมโส
การทำเมโสหน้าใส เป็นวิธีการชะลอการกระจายของฝ้า ด้วยการฉีดสารบำรุงต่าง ๆ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโน เข้าสู่ผิวชั้นกลางโดยตรง ตัวยาจะเข้าไปช่วยควบคุมให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานลดลง ส่งผลให้รอยฝ้า กระ จุดด่างดำจางลง ใบหน้าดูขาวใส เต่งตึง เรียบเนียน หลังฉีดจะเริ่มเห็นผลประมาณวันที่ 3 และเห็นผลชัดเจนเต็มที่ใน 7-14 วัน ถือว่าเห็นผลไวเมื่อเทียบกับการทาครีม
สำหรับโปรแกรมฉีดเมโสฝ้าที่ V Square Clinic มีให้เลือกหลายยี่ห้อหลายสูตร เช่น Tensonez ผิวขาวใส ลดฝ้า, Filorga ช่วยให้ผิวขาวใส ลดฝ้า บำรุงล้ำลึก และ Alpha Arbutin เน้นลดฝ้าโดยตรง ก่อนทำแพทย์จะตรวจประเมินผิวหน้าของคนไข้ก่อนทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้สูตรเมโสที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน แก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด และคุ้มค่าครับ
รีวิว รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ด้วยเมโส
2. รักษาฝ้าด้วย IPL
การทำ IPL รักษาฝ้า จะคล้ายกับการทำเลเซอร์ โดยจะใช้พลังงานจากคลื่นแสงยิงลงไปบนผิวหน้าบริเวณที่เป็นฝ้า เพื่อให้ความร้อนเข้าไปทำลายเม็ดสีเมลานิน ทำให้ฝ้าค่อย ๆ จางลง สีผิวสม่ำเสมอ หลังทำอาจมีสะเก็ดเล็กน้อยและหลุดเองใน 5-7 วัน
3. ไอออนโตรักษาฝ้า
การทำไอออนโต สามารถช่วยรักษาฝ้า กระตื้น และจุดด่างดำได้ โดยการใช้เครื่องมือที่มีแหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง ผลักตัวยาหรือวิตามินบำรุงผิวให้ซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ลดฝ้า ลดจุดด่างดำ ไม่ควรทำในบริเวณผิวหนังที่มีการอักเสบหรือติดเชื้อ
4. โฟโนรักษาฝ้า
การทำโฟโน จะใช้คลื่นความถี่สูงส่งผ่านเครื่องมือขนาดเล็ก นวดกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้วิตามินซึมเข้าสู่ผิวหน้า เข้าไปยับยั้งการสร้างเม็ดสี ช่วยลดการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ แนะนำให้ทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ใช้พลังงานอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันความเสียหายของเซลล์ผิวครับ
5. กรอผิวด้วยการพ่นผงคริสตัล
การกรอผิวด้วยผงคริสตัล จะเห็นผลดีในการรักษาฝ้าและกระที่อยู่ในชั้นตื้น เป็นการผลัดเซลล์ผิวด้วยการพ่นผงแร่ละเอียดขนาดเล็กลงบนผิวหน้า ช่วยกำจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วและสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทน ทำให้หน้ากระจ่างใสขึ้น ฝ้า กระ และจุดด่างดำดูจางลง
6. รักษาฝ้าด้วย LED Mask
LED Mask หรือหน้ากากบำบัดแสง เป็นนวัตกรรมทรีตเมนท์บำรุงหน้า Light Therapy ที่ใช้คุณสมบัติของคลื่นแสงในการแก้ปัญหาผิว ช่วยปรับสมดุลและฟื้นฟูผิว ลดการสร้างเม็ดสี ลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ สามารถทำได้เองที่บ้าน ประมาณวันละ 15-20 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งครับ
7. ทายารักษาฝ้า
การทายารักษาฝ้า สามารถทำให้ฝ้าที่เกิดขึ้นในผิวหนังชั้นนอกจางลงได้ มักมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน ปรอท สเตียรอยด์ หรือกรดเรติโนอิก ช่วยในการยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน แต่มีข้อควรระวังคือต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะหากใช้ในปริมาณมากเกินไปอาจเกิดอันตรายต่อผิวหนัง เช่น เป็นผื่นแพ้ ระคายเคือง แสบร้อน อักเสบ ผิวไหม้
8. รับประทานยารักษาฝ้า
การใช้ยารับประทานกลุ่ม Tranexamic Acid มีรายงานทางการแพทย์ว่ามีส่วนช่วยในการลดการสร้างเม็ดสี ทำให้ฝ้าจางลงได้ ถือเป็นยาอันตรายและมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อาจมีอาการข้างเคียง เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดหัว และอ่อนเพลีย ก่อนใช้ยาควรได้รับการตรวจประเมินและจ่ายยาโดยแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้นครับ
9. มาสก์หน้าด้วยหัวไชเท้า
หัวไชเท้า มีสารไกลโคไซด์ ซึ่งอุดมไปด้วยกรดแอสคอร์บิก และวิตามินเอ มีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเม็ดสีเมลานินที่ผลิตออกมามากเกินไปและช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ฝ้า กระ จุดด่างดำลดลง วิธีทำคือนำหัวไชเท้าบดผสมกับน้ำผึ้งหรือนม แล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็นฝ้าประมาณ 15-20 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
10. มาสก์หน้าด้วยใบบัวบก
ใบบัวบก เป็นสมุนไพรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการรักษาฝ้า กระ และจุดด่างดำ สามารถนำมาปั่นให้ละเอียดและคั้นเอาน้ำมาเช็ดแทนโทนเนอร์ หรือพอกทิ้งไว้บนใบหน้าตรงบริเวณที่เป็นฝ้า ทำเป็นประจำทุกวันฝ้าจะค่อย ๆ จางลง ผิวหน้าแข็งแรงขึ้น
11. มาสก์หน้าด้วยมะขามเปียก
มะขามเปียก มีกรด AHA เป็นกรดธรรมชาติที่ช่วยเร่งผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออก ช่วยปรับสภาพผิว ลดรอยฝ้า กระ จุดด่างดำให้จางลง ทำได้โดยการนำมะขามเปียกมาผสมกับน้ำ พอกผิวหน้าทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ไม่ควรทำบ่อยเกินไปเพราะอาจทำให้ผิวบาง ไวต่อแดดได้
12. มาสก์หน้าด้วยไข่ขาว
ในไข่ขาว มีวิตามินเอและโปรตีนสูง นำไข่ดิบมาตอกแล้วแยกไข่แดงออก เอาเฉพาะไข่ขาวดิบมาทาบาง ๆ ให้ทั่วรอยฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ไข่ขาวจะช่วยดูดซับสารพิษ และผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ลดการสร้างเมลานิน ทำให้ฝ้า กระ จุดด่างดำจางลง
วิธีป้องกันการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ
แม้สามารถรักษาฝ้าให้จางลงได้ แต่ก็มีโอกาสที่ฝ้าจะกลับมาเป็นซ้ำ ดังนั้นการป้องกันฝ้าจึงสำคัญ คนไข้สามารถปฏิบัติตามได้ดังนี้
- หลีกเลี่ยงแสงแดด รังสีจากหน้าจอและกิจกรรมกลางแจ้ง
- หมั่นทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ เป็นประจำ
- ล้างหน้าตามแนวโพรงขน ขจัดสิ่งสกปรกในรูขุมขน
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
- รับประทานผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
- หากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย บรรเทาความเครียด
- หลีกเลี่ยงยาที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมน
เลือกคลินิกรักษาฝ้า ที่ไหนดี ?
สำหรับคนที่กำลังมองหาคลินิกรักษาฝ้าที่ได้มาตรฐาน และปลอดภัย หมอมีแนวทางการพิจารณาดังต่อไปนี้
- มีชื่อคลินิกและเลขใบอนุญาต 11 หลัก จากกระทรวงสาธารณสุข แสดงให้เห็นชัดเจน
- ดำเนินการโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง และมีใบประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้อง
- มีรีวิวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพื่อแสดงให้เห็นผลลัพธ์การรักษาฝ้าของเคสนั้นจริง ๆ
- มีการนัดติดตามผลการรักษา และแพทย์แนะนำวิธีการปฏิบัติตัวหลังทำอย่างใกล้ชิด
- มีช่องทางติดต่อสะดวก สามารถปรึกษาหรือสอบถามข้อสงสัยกับแพทย์เจ้าของเคสได้โดยตรง
สรุป
รักษาฝ้า สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งวิธีทางการแพทย์และวิธีธรรมชาติ โดยประสิทธิภาพของผลลัพธ์ที่ได้จะขึ้นอยู่กับชนิดฝ้า ระดับความลึกของฝ้า และวิธีที่ใช้ เนื่องจากปัญหาและสภาพผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจประเมินผิวหน้า วางแผนการรักษา และเลือกวิธีที่เหมาะสมครับ
อ้างอิง
http://drug.pharmacy.psu.ac.th/webboard/wball.php?idqa=308