IV drip ผิวใส สุขภาพดี ด้วยการฉีดวิตามิน
IV Drip หรือ การฉีดวิตามินเข้าทางหลอดเลือด เป็นที่นิยมในกลุ่มคนที่สนใจความงามมานานแล้วครับ เพราะวิธีนี้ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าการรับประทานอาหารเสริม
ในบทความนี้หมอจะแนะนำข้อควรรู้เกี่ยวกับการทำ IV Drip อย่างละเอียด ว่าคืออะไร ? มีกี่สูตร ? ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดวิตามิน รวมถึงประโยชน์ ข้อดีข้อเสีย การดูแลตัวเองหลังทำ การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ได้ทั้งผลลัพธ์และความปลอดภัย
สารบัญ iv drip
IV drip คืออะไร ?
IV Drip หรือ Intravenous Therapy คือหัตถการที่แพทย์จะฉีดวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ เข้าสู่หลอดเลือดโดยตรง เป็นวิธีที่ถูกออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูเซลล์ เสริมสร้างสุขภาพ ปรับสมดุลร่างกาย และเพิ่มความสดชื่นให้กับผู้ที่รู้สึกเหนื่อยล้าหรือขาดพลังงาน
IV drip อันตรายไหม ?
การทำ IV Drip มีความปลอดภัยหากทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้อุปกรณ์และตัวยาที่ได้มาตรฐานครับ ส่วนผลข้างเคียงหลังฉีดปกติที่เกิดขึ้นได้ เช่น อาการเจ็บ รอยแดง รอยเข็ม
ถ้าถามว่ามีโอกาสฉีดแล้วเป็นอันตรายไหม ?
หมอต้องบอกว่ามีครับ เช่น อาการแพ้ หรือการติดเชื้อ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่จะเกิดจากการฉีดตัวยาที่ไม่ได้มาตรฐาน ฉีดกับหมอกระเป๋า ฉีดตามบ้าน คอนโด หรือที่ร้ายแรงคือซื้อยาตามออนไลน์แล้วไปฉีดเอง ซึ่งอันตรายมาก ๆ ครับ
ทั้งจากตัวยาที่ตรวจสอบแหล่งที่มาไม่ได้ ไม่รู้ว่าผ่านอย. ไหม การใช้อุปกรณ์อย่างเข็มฉีดที่ไม่ผ่านการ sterile (ทำให้ปราศจากเชื้อ) หลังฉีดแล้วเกิดการติดเชื้อที่ผิวหนัง หรือร้ายแรงถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือดได้ครับ ดังนั้นก่อนตัดสินใจทำ IV drip ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานเพื่อความปลอดภัย
IV drip มีกี่สูตร ?
IV Drip หรือการดริปวิตามินมีหลายสูตร ขึ้นอยู่กับส่วนผสมของตัวยาครับ แต่ละที่ก็จะใช้สูตรไม่เหมือนกัน ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันด้วย
ตัวอย่างสูตร IV drip
- สูตรเสริมภูมิคุ้มกัน (Immune Boost)
- สูตรต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)
- สูตรฟื้นฟู (Recovery)
- สูตรบำรุงผิวพรรณ (Skin Brightening)
สำหรับที่ V Sqaure Clinic จะใช้สูตรบำรุงผิว ขาวใส ผิวนุ่ม สูตร Skin Glow และ สูตร White Rediance
- Vit C Megadose ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและบำรุงผิว
- Vit B รวม ช่วยเพิ่มพลังงานและบำรุงผิว ผม เล็บ
- Glutamine ช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อและบำรุงผิว
- Amino เสริมสร้างโปรตีนในร่างกาย
- NAC ต้านอนุมูลอิสระและขับสารพิษ
การฉีดวิตามินผิว Aura White จะช่วยฟื้นฟูและรักษาปัญหาผิว ลดการเกิดขึ้นของเม็ดสีเมลานิน แก้ปัญหาจุดด่างดำ ลดความหมองคล้ำ และเมื่อได้รับวิตามินอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ผิวดูใสมากขึ้นกว่าผิวเดิมได้ครับ
IV drip เหมาะกับใคร ?
IV drip เหมาะกับผู้ที่ต้องการการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน อยากปรับสภาพผิวให้ดูสดใสขึ้น ลดปัญหาผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่รู้สึกเหนื่อยล้าหรือขาดพลังงาน หลังฉีดวิตามินแล้วจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้นได้
สำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงผิวหน้าและต้องการเห็นผลที่รวดเร็ว สามารถฉีดเมโสหน้าใสซึ่งเป็นการฉีดวิตามินเพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะได้ครับ อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความ ฉีดเมโสหน้าใส คืออะไร ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
IV drip ช่วยอะไรบ้าง ?
IV Drip ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารและวิตามินที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะคนที่ขาดวิตามินจากการทานอาหารไม่ครบ หรือไม่ค่อยได้ดูแลตัวเอง ซึ่งการฉีดจะเห็นผลเร็วและตรงจุดมากกว่าการทานอาหารเสริมทั่วไป
- บำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวดูใส สุขภาพดีขึ้น
- ช่วยให้รู้สึกสดชื่นและมีพลังงานมากขึ้น
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- ปรับสมดุล ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากการฉีดวิตามินผิว IV drip แล้วยังมีวิธีอื่น ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ผิวแห้ง หยาบกร้าน ได้อีกครับ บางหัตถการสามารถทำร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นได้ด้วย อ่านเพิ่มเติมในบทความ หน้าโทรม ไม่สดใส ผิวหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง แก้ไขได้ด้วยวิธีไหนบ้าง ?
ข้อดี ข้อเสียของ IV drip
ข้อดี
- ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารได้ทันที
- เห็นผลลัพธ์ได้ภายในเวลาไม่นาน เร็วกว่าการทานอาหารเสริมหรือทาครีมบำรุง
- สะดวก ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง แทนการที่ต้องทานวิตามินทุกวัน
ข้อเสีย
- ราคาสูงกว่าการทานวิตามินกระปุก
- มีรอยเข็ม หรืออาการบวมเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด
- หากต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ควรทำต่อเนื่อง
การเตรียมตัวก่อนทำ IV drip
ก่อนการทำ IV Drip ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหนัก ๆ ครับ จะช่วยให้ร่างกายมีความพร้อมและสามารถดูดซึมวิตามินต่าง ๆ ได้ดี และหากมีโรคประจำตัวหรือยาที่รับประทานประจำ ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทุกครั้งนะครับ
ขั้นตอนการทำ IV drip
- ปรึกษาแพทย์ เพื่อเช็กความพร้อมของร่างกายและให้คำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาที่คนไข้กังวล รวมถึงประเมินผลลัพธ์ที่คาดหวังได้
- เลือกสูตรวิตามินที่เหมาะสมกับความต้องการของคนไข้
- การฉีดวิตามินจะใช้เวลาไม่เกิน 30-60 นาที ระหว่างเดินยาคนไข้อาจจะรู้สึกปวด ๆ ตึง ๆ บริเวณที่ฉีดได้เป็นปกติ
IV drip ต้องทำกี่ครั้ง ?
หลังฉีดวิตามินผิวจะเริ่มเห็นผลประมาณ 3 วันหลังฉีด และเห็นผลเต็มที่ประมาณ 7-14 วันครับ หากคนไข้มีปัญหาที่ต้องการแก้ไข และอยากเห็นผลชัดเจน ควรเข้ามาฉีด IV drip สัปดาห์ละครั้งในช่วงแรก หลังจากนัดติดตามผล ผิวเริ่มฟื้นฟูแล้ว สามารถเว้นระยะห่างนานกว่านั้นได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดวิตามินผิว กี่ครั้งเห็นผล ? ไม่เห็นผลเกิดจากอะไร ? ต้องฉีดต่อเนื่องไหม ?
การดูแลหลังทำ IV drip
การทำ IV drip เป็นการเติมสารบำรุงและฟื้นฟูผิวได้ก็จริงครับ แต่ถ้าคนไข้ยังมีพฤติกรรมที่ทำร้ายผิว เช่น นอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ ตากแดดจัด ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ ก็จะทำให้เห็นผลได้ไม่เต็มที่ และผลลัพธ์ก็จะอยู่ได้ไม่นานครับ
ดังนั้น การดูแลหลังทำ IV drip จึงเป็นสิ่งสำคัญ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ ยิ่งดูแลตัวเองได้สม่ำเสมอ ผลลัพธ์ก็จะอยู่ได้นานมากยิ่งขึ้น
IV drip ที่ไหนดี ?
- พิจารณาเรื่องความปลอดภัยและมาตรฐาน : เลือกคลินิกที่เปิดอย่างถูกต้อง มีเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก
- พิจารณาเรื่องแพทย์ผู้ทำหัตถการ : ต้องเป็นแพทย์จริง มีเลข ว. นำชื่อ-นามสกุล ไปตรวจสอบกับแพทยสภาได้ และควรเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อความแม่นยำในการประเมินและทำหัตถการ
- พิจารณาเรื่องตัวยาที่ใช้ : ต้องเป็นยาแท้ มีคุณภาพ ผ่านอย. มั่นใจได้ว่าปลอดภัย
- พิจารณาเรื่องความน่าเชื่อถือ : ดูรีวิวจากผู้ที่เคยมาใช้บริการจริง ในแหล่งที่เป็นกลาง คลินิกไม่สามารถลบหรือแก้ไขได้
- พิจารณาเรื่องราคา : คลินิกต้องแจ้งราคาอย่างชัดเจน ไม่จงใจปิดบังหรือเรียกเก็บเงินเพิ่มหลังทำหัตถการแล้ว และควรเป็นราคาที่สมเหตุสมผล ไม่ถูกจนผิดสังเกต
- พิจารณาเรื่องการบริการ : คลินิกสะอาด มีพนักงานดูแลอยู่เสมอ และมีช่องทางการติดต่อที่สะดวก สามารถติดต่อแพทย์ได้หากมีปัญหาหรือข้อสงสัย
สรุปทำ iv drip ฉีดวิตามินผิว
iv drip ฉีดวิตามินผิว เป็นวิธีที่ช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างรวดเร็วก็จริงครับ แต่ก็ต้องทำในคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ยาแท้ แพทย์จริง มีประสบการณ์ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี
นอกจากนี้ก่อนฉีดแนะนำให้สอบถามตัวยาที่แต่ละคลินิกใช้ครับ เพราะหลาย ๆ ที่ก็ตั้งชื่อสูตร iv drip เฉพาะของตัวเอง ทำให้ส่วนใหญ่คนไข้ไม่ทราบว่าวิตามินที่ฉีดให้มีอะไรบ้าง หากทราบเราก็จะสามารถเปรียบเทียบตัวยาหรือราคาของแต่ละที่ได้ในเบื้องต้น เพื่อเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับปัญหา ความต้องการ และงบประมาณของแต่ละคน