Glass Skin
ผู้ที่อัปเดตเทรนด์ความงามเป็นประจำ คงจะเคยได้ยินคำว่า “Glass Skin” จากเหล่าบิวตี้บล็อกเกอร์ หรือโฆษณาของสกินแคร์กันมาบ้าง
ลักษณะผิว Glass Skin เป็นอย่างไร ? ต่างจากผิวมันไหม ? อยากมีผิว Glass Skin ทำอย่างไร ? หมอจะพาทุกคนไปหาคำตอบในบทความนี้ครับ
สารบัญ Glass skin
ลักษณะของผิว Glass Skin
ลักษณะของผิว Glass Skin
Glass Skin หรือผิวกระจก คือ ผิวหน้าที่มีความเปล่งปลั่ง อิ่มน้ำ เวลาแสงตกกระทบผิวจะโกลว์ใสเหมือนกระจกเงา รูขุมขนกระชับ และผิวดูเรียบเนียน ปราศจากรอยตำหนิต่าง ๆ ทั้ง ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยสิว หรือริ้วรอย
Glass Skin ต่างอย่างไรกับผิวมัน ?
Glass Skin vs ผิวมัน
Glass Skin เป็นลักษณะของผิวสุขภาพดี ดูกระจ่างใส เรียบเนียนราวกับไม่มีรูขุมขน ผิวภายนอกฉ่ำวาวเล่นแสง เพราะผิวอิ่มน้ำเต็มที่ แตกต่างจากผิวมัน (Oily Skin) ที่ผิวผลิตน้ำมันส่วนเกิน ทำให้ผิวดูเงา มันเยิ้ม และมองเห็นรูขุมขนกว้างชัดเจน มีแนวโน้มเกิดปัญหาสิวอุดตันได้ง่าย
“ ข้อควรรู้ : ผู้ที่มีผิวมัน ถ้าอยากมีผิวฉ่ำโกลว์แบบ Glass Skin ต้องเติมน้ำให้ผิวชุ่มชื้นก่อนครับ เพราะถ้าผิวมันขาดน้ำ ผิวจะผลิตน้ำมันออกมาทดแทนความชุ่มชื้นที่สูญเสียไป ทำให้ผิวดูเงาขึ้นก็จริงครับ แต่เป็นเงาแบบมันเยิ้ม ไม่ได้เงาแบบฉ่ำวาว ”
Glass Skin มีที่มาอย่างไร ทำไมถึงนิยมมากขึ้น ?
Glass Skin เป็นเทรนด์ความงามที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศเกาหลีใต้ครับ เนื่องจากมีสภาพอากาศที่เย็นและแห้ง สกินแคร์ส่วนใหญ่มักใส่ส่วนผสมที่ช่วยเติมน้ำหล่อเลี้ยงผิว แก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน ปรับผิวให้อิ่มฟู เช่น ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA)
ผิวฉ่ำโกลว์แบบ Glass Skin ได้รับความนิยม เพราะทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เต่งตึง เหมือนกับผิวเด็ก ดูสวยแม้หน้าสด แต่งหน้าติดง่าย ไม่ตกร่อง และยังแสดงถึงการดูแลผิวพรรณอย่างพิถีพิถันจนผิวมีสุขภาพดีอีกด้วย
อยากให้ผิว Glass Skin ต้องทำอย่างไร ?
สำหรับใครที่อยากมีผิว Glass Skin สามารถเริ่มจากการดูแลผิวด้วยตัวเอง หรือเข้าคลินิกความงามร่วมกันได้ ซึ่งแต่ละวิธีจะมีระยะเวลาเห็นผลแตกต่างกันครับ หมออธิบายแต่ละวิธี ดังนี้
Skincare Routine
การดูแลผิวหน้าเป็นอีกวิธีที่ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลาย ทำให้ผิวแข็งแรง และมีสุขภาพดีขึ้นได้ ที่สำคัญควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเอง เช่น ผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวผสม
Skincare Routine สำหรับผู้ที่อยากมีผิว Glass Skin มีดังนี้
- ใช้ครีมกันแดด : ครีมกันแดดช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ไม่ให้ผิวหมองคล้ำ แห้งเสีย หรือเกิดริ้วรอยก่อนวัย ควรเลือกที่ค่า SPF 30 ขึ้นไป
- ล้างหน้า 2 ขั้นตอน : ใช้คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอางให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนเริ่มล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ช่วยป้องกันการระคายเคือง ลดโอกาสเกิดสิว
- ใช้โทนเนอร์ : โทนเนอร์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และปรับสภาพผิวให้มีความสมดุล เตรียมผิวให้พร้อมก่อนใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในขั้นตอนต่อไป
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว : หากต้องการบำรุงผิวด้วยเซรั่ม มอยส์เจอร์ไรเซอร์ หรือเรตินอล ควรเลือกใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและตรงกับปัญหาผิว
การดูแลผิวในขั้นตอนที่กล่าวไปจำเป็นต้องมีความสม่ำเสมอ และใช้เวลาอย่างน้อย 1-3 เดือน หรือในบางเคสอาจนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพผิวเดิมของแต่ละคน
แต่งหน้า
การแต่งหน้าสามารถทำให้ผิวดูฉ่ำวาวได้ชั่วคราว โดยเลือกใช้รองพื้นหรือคุชชั่นสูตร Hydrating หรือ Dewy ร่วมกับการไฮไลท์และเฉดดิ้งหน้า แต่วิธีนี้จะไม่ใช่การสร้างผิว Glass Skin ที่มีสุขภาพดีจากภายในครับ
สำหรับใครที่ต้องการฟื้นฟูผิวเสีย สร้างผิว Glass Skin จากภายใน วิธีทางการแพทย์จะตอบโจทย์ และเห็นผลลัพธ์เร็วกว่า
ประเมินปัญหาผิวกับแพทย์มากประสบการณ์
มีด้วยกันหลายตัวครับ เช่น Rejuran, Exosome, ฟิลเลอร์ และเมโสหน้าใส หมอจะอธิบายความแตกต่างของหัตถการงานผิวแต่ละตัวในหัวข้อถัดไป
เปรียบเทียบหัตถการงานผิว สร้างผิว Glass Skin
ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว
ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว (Skin Booster) ช่วยเติมน้ำให้ผิว ปรับผิวให้อิ่มฟู เนียนเด้ง ด้วยการฉีดสาร Hyaluronic Acid (HA) ที่มีขนาดโมเลกุลเล็ก มีความละเอียดสูงเข้าไปใต้ผิวหนัง หมอเลือกใช้เป็นรุ่นฟิลเลอร์ที่มีเนื้อบางเบา มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง อิ่มน้ำ ฉ่ำวาว Glass Skin ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ดูสุขภาพดี
โดยฟิลเลอร์ Skin Booster ในกลุ่มงานผิวที่ได้รับความนิยมก็จะมี Juvederm Volite, Restylane Vital Light และ Belotero Revive ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์เนื้อฉ่ำ เหมาะกับงานผิวครับ หลังฉีดเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที และผลลัพธ์เต็มที่ใน 2 สัปดาห์
ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวแต่ละยี่ห้อ
ในเคสที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก ๆ ร่วมด้วย ต้องการให้ผิวแน่น และกระชับมากขึ้น สามารถฉีดฟิลเลอร์สกินบูสเตอร์ ร่วมกับสารกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Stimulator) ตัวอื่น ๆ ได้ เช่น Radiesse, Sculptra, และ Gouri ก่อนฉีดแพทย์จะช่วยให้คำแนะนำ เรียงลำดับหัตถการก่อน-หลังที่เหมาะสมให้ครับ
Rejuran
Rejuran เป็นสารสกัด Polynucleotide (PN) ที่สกัดจากเซลล์อสุจิปลาแซลมอนในธรรมชาติ เมื่อฉีดรีจูรันเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวฟู ดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาวเป็น Glass Skin ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง ลดการอักเสบ ลดเลือนริ้วรอยขนาดเล็ก ปรับผิวเรียบเนียน เหมาะกับผู้ที่หน้าโทรม ไม่สดใส รูขุมขนกว้าง หรือมีหลุมสิวตื้น ๆ อยากมีผิวดูโกลว์ใส ดูสุขภาพดีครับ
ฉีด Rejuran
หลังฉีด Rejuran เห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรก เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 3-5 วัน แนะนำให้ฉีดต่อเนื่องอย่างน้อย 4 ครั้ง ในทุก ๆ 2-3 สัปดาห์ครับ เมื่อผิวฟื้นฟูเต็มที่แล้ว สามารถเว้นเป็น 3-6 เดือน ต่อครั้ง เพื่อคงผลลัพธ์
เมโสหน้าใส
เมโสหน้าใส (Mesotherapy) เป็นทางลัดผลักวิตามินเข้าสู่ชั้นผิวหนังโดยตรง ช่วยซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพ และบำรุงผิวให้กระจ่างใส ฉ่ำโกลว์แบบ Glass Skin นิยมใช้ตัวยา Filorga / Revs NCFS ที่มีส่วนผสมหลักเป็นสาร HA เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอิ่มน้ำ บำรุงผิวล้ำลึก ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
หากมีปัญหาผิวอื่น ๆ เช่น สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ ยังมีเมโสหน้าใสยี่ห้ออื่น ๆ ให้เลือก เช่น
- Made Collagen ฉีดมาเด้คอลลาเจนช่วยขับสารพิษตกค้างในผิว แก้ปัญหาผิวอักเสบ ผดผื่น และสิว เหมาะกับผู้ที่ผิวแพ้ง่าย และต้องการเสริมเกราะให้ผิวแข็งแรง
- Tensonez / Depigment / Neo-Glutanex Glow ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งเสีย หรือหมองคล้ำจากแสงแดด
- Alpha Arbutin ช่วยลดฝ้าโดยตรง แก้ปัญหาจุดด่างดำ และรอยดำจากสิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับผิวให้กระจ่างใส
หลังฉีดเมโสหน้าใสจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 3 วัน และผลลัพธ์เต็มที่ใน 7-14 วัน แนะนำให้ฉีดเมโสหน้าใสอาทิตย์ละครั้งใน 1 เดือนแรก และหลังจากนั้นทุก ๆ 2 อาทิตย์ เพื่อคงผลลัพธ์ครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดเมโสหน้าใส คืออะไร ? ราคาเท่าไหร่ ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
Exosome
Exosome เป็นสารชีวโมเลกุลกว่า 1000 ชนิด ที่จำเป็นต่อสุขภาพผิว เช่น Growth Factors, Peptides, Amino Acids, Coenzymes, Hyaluronic Acids ที่มีขนาดเล็กกว่าเซลล์ทั่วไป ถึง 1,000 เท่า ตัวยาจึงสามารถเข้าไปสู่เซลล์ผิวต่าง ๆ ได้
โดยทำหน้าที่ฟื้นฟูโครงสร้างผิวที่เสื่อมสภาพ บำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก ชะลอการเสื่อมของผิว เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ สิว หลุมสิว รูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน ผิวแห้ง ต้องการฟื้นฟูสุขภาพผิวจากภายใน สร้างผิวอิ่มฟู ฉ่ำเด้ง ฉ่ำโกลว์แบบ Glass Skin
หลังทำ Exosome จะเห็นผลใน 3 วัน แนะนำให้ทำ 3-5 ครั้ง โดยครั้งที่ 1-3 ห่างกัน 2 สัปดาห์ ครั้งที่ 4 ห่างกัน 1 เดือน และครั้งที่ 5 ห่างกัน 1 ปี
Exosome สร้างงานผิวแบบเกาหลี ใช้กี่ CC เห็นผล
การปรับเมนูอาหารช่วยทำให้ผิว Glass Skin ได้ไหม ?
การปรับเมนูอาหาร เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสร้างผิว Glass Skin ครับ เพราะการกินอาหารที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายและเซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น ผิวพรรณจึงดูสดใส เปล่งปลั่ง ตามไปด้วย แต่เป็นวิธีที่จำเป็นต้องมีวินัยเช่นเดียวกับการปรับ Skincare Routine ครับ
- กินอาหารที่มีไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า อะโวคาโด ถั่ว น้ำมันมะกอก ช่วยเสริมความแข็งแรงของผิวชั้นนอก และเพิ่มการกักเก็บความชุ่มชื้น ผิวจึงดูฉ่ำวาว มีสุขภาพดี
- กินผัก ผลไม้ และธัญพืช ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น มะเขือเทศ ส้ม ผลไม้ตระกูลเบอร์รี เมล็ดดอกทานตะวัน ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย และปกป้องผิวจากมลภาวะและรังสี UV
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 1.5-2 ลิตร ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ลดโอกาสเกิดสิวและผิวแห้งกร้าน
- งดอาหารที่ทำร้ายสุขภาพผิว เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ของหวาน อาหารไขมันสูง
นอกจากการปรับเมนูอาหารแล้ว ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำลายสุขภาพร่วมด้วย เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ สะสมความเครียด และสูบบุหรี่ เพราะล้วนทำให้ผิวโทรม หมองคล้ำ และเสื่อมสภาพก่อนวัยได้
สรุปเรื่องของ Glass Skin
Glass Skin เกิดจากการดูแลร่างกายและผิวพรรณอย่างพิถิพิถัน ทำให้ผิวสุขภาพดี อิ่มน้ำเต็มที่ ฉ่ำโกลว์เหมือนกับกระจกเงา หากต้องการเห็นผลแบบเร่งด่วน สามารถทำควบคู่ไปกับหัตถการทางการแพทย์ได้ เช่น ฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว, Rejuran, เมโสหน้าใส, Exosome ควรเลือกคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ แพทย์มีประสบการณ์สูง เพื่อแก้ปัญหาผิวที่ตรงจุดครับ
สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ
